คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของมนุษย์คือ เป็น “ผู้รู้คิด” จากการรู้คิดนี้เองนำไปสู่กระบวนการคิด เริ่มจากการตีความ พิจารณา ไตร่ตรอง สิ่งที่ได้จากผัสสะ แล้วสรุปเป็นความรู้อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วเก็บสะสมความรู้นั้นไว้ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานหรือความรู้เดิมที่ใช้ในการ เปรียบเทียบและตัดสินใจ สรุปความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น เด็กที่เข้าเรียนในชั้นเรียนเป็นครั้งแรกในชีวิต มีหญิงสาวตัวผอม ๆ คนหนึ่งเข้ามาอยู่หน้าห้องเรียนแล้วบอกว่าตัวเธอเป็นครู แล้วก็สอนให้อ่านหนังสือ ประสบการณ์จากตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ผ่านกระบวนการคิดเกิดความเข้าใจ สรุปได้ว่าครูคือหญิงสาวตัวผอม ๆ ที่ทำหน้าที่สอนหนังสือ เรียกว่าเกิดจินตภาพ (image) ต่อมาเห็นชายแก่ทำหน้าที่สอนหนังสือและเรียกว่าครูเช่นกัน เป็นจินตภาพอีก 1 ครั้ง กระบวนการคิดจะทำงานเพิ่มเติมจากการตีความถึงลักษณะรูปร่าง กิจกรรม พิจารณาไตร่ตรองทบทวนและจะทำการเปรียบเทียบกับจินตภาพเดิม เห็นความเหมือนและแตกต่าง เกิดความเข้าใจว่าผู้เป็นครูนั้นอาจเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่ทำหน้าที่สอนหนังสือเหมือนกัน สรุปความรู้ใหม่ได้ว่า “ครูคือผู้สอนหนังสือ” ความรู้ใหม่ที่ได้จากการสรุปโดยการตีความพิจารณา ไตร่ตรองเปรียบเทียบกับหลาย ๆ จินตภาพที่ตนมีประสบการณ์นั้น เรียกว่า มโนภาพ (concept) ซึ่งเป็นความรู้ที่กินความหมายกว้างครอบคลุมทุก ๆ จินตภาพที่มีประสบการณ์และรวมไปถึงสมาชิกอื่น ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ของมโนภาพนั้น ๆ ด้วย คือ กินความถึงครูที่เคยพบเห็นและครูคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้พบเห็น แต่ก็สรุปว่าครูทุกคนเป็นผู้สอนหนังสือหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความคิดที่อนุมานขึ้นมา
กระบวนการคิดของมนุษย์มิได้หยุดเพียงการสร้างมโนภาพ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่กินความกว้างกว่าความรู้เดิมเท่านั้น แต่ยังเก็บความรู้นั้นเข้าไว้ในความทรงจำเพื่อใช้เป็นความรู้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับรู้ ความรู้ที่ถูกเก็บไว้นั้นจะกลายเป็นความรู้เดิมที่มีความหมายกินความกว้าง ๆ เมื่อมีการรับรู้ใหม่เข้ามา กระบวนการคิดของมนุษย์จะตีความพิจารณาไตร่ตรองเปรียบเทียบ แล้วทำการอนุมานสรุปออกมาเป็นความรู้ที่เกิดจากการนำความรู้เดิมมาเป็นหลักฐานสนับสนุน เช่น ความรู้ที่ว่า “ครูคือผู้สอนหนังสือ” ที่ความทรงจำเก็บไว้เป็นความรู้เดิมที่ใช้เปรียบเทียบกับความรู้ใหม่ โดยได้รับการแนะนำให้รู้จักสตรีคนหนึ่งในร้านอาหารว่า คุณจิตราเป็นครู กระบวนการความคิดจะนำความรู้ในความทรงจำเดิมว่า “ครูคือผู้สอนหนังสือ” กับความรู้ว่า “คุณจิตราเป็นครู” ทำการอนุมานสรุปออกมาเป็นความรู้ใหม่ว่า “คุณจิตราเป็น ผู้สอนหนังสือ” ความรู้ที่สรุปได้ครั้งนี้เป็นส่วนย่อยเฉพาะเรื่องคุณจิตรา รู้ได้โดยการคิดอนุมานนำความรู้เดิมมาสนับสนุนความรู้ใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์โดยการไปเห็นหรือได้ยินคุณจิตรากำลังสอนหนังสือเลย
จิราภรณ์ ศิริทวี (๒๕๔๐ : ๓-๔ ) ได้เสนอวิธีคิดที่ทำให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ดวยตนเองดังนี้
๑. กล้าคิด (Risk Taking) คือกล้าหาทางเลือกอื่น ๆ และเสนอออกมาไม่ว่าบังเกิดผลเช่นไรแก่ผู้เสนอก็ตาม แม้ความคิดนั้นจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหรือกระทั่งล้มเหลว คนที่กล้าคิดก็ยังกล้าที่จะคิดและพร้อมที่จะเสี่ยงเสนอความคิด นักเรียนต้องฝึกความกล้าเสี่ยง กล้าเดา กล้าคิด กล้าเสนอและกล้าปกป้องความคิดของตนด้วยการใช้ทักษะการมีเหตุผลในบรรยากาสที่นักเรียนทุกคนสบายใจ คิดว่า “ผิดเป็นครู” ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยเพราะไม่เคยคิด
๒. คิดคล่อง (Fluency) คือความสามารถคิดรวบยอด (concept) หรือ ข้อคิดเห็น (ideas) เป็นปริมาณมาก ๆ ได้ ยิ่งคิดคล่องก็ยิ่งมีข้อคิดเห็นมาก เท่าไร โอกาสพบความคิดที่มีคุณภาพสูง เช่น การคิดเรื่องใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครคิดก็จะมีมากขึ้น แม้การคิดคล่องจะเป็นเรื่องของปริมาณแต่ปริมาณจะนำมาซึ่งคุณภาพถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น
๓. คิดกว้าง (Flexibility) คือความสามารถในการคิดที่ไม่ติดอยู่ในกรอบหรือมุมมองเพียงมุมเดียว คนที่คิดกว้างจะมองเห็นกลยุทธ หรือทางแก้ไขปัญหาที่หลากหลายในการจัดการกับปัญหาหนึ่ง ๆ ไม่ใช่ยึดมั่นกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงประการเดียว ดังนั้น การคิดกว้างจึงเป็นการมองจากหลายมุมมองแม้จะต่างไปจากที่คุ้นเคยเพื่อบรลุความเข้าใจที่กว้างขวางกว่าจนเกินกรอบที่กำหนดไว้เดิม
๔. คิดของเดิม (Originality) คือความสามารถคิดอย่างหลักแหลม ทำให้เกิดข้อคิดเห็นที่เป็นของตนเอง ด้วยความสามารถนี้นักเรียนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางโลกอนาคตได้
๕. คิดดัดแปลง (Elaboration) คือความสามารถต่อเติมข้อคิดเห็นที่มีอยู่แล้วให้น่าสนใจและมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความคิดเก่าคือรากฐานของความคิดใหม่ คนรุ่นใหม่จะใช้ประโยชน์จากความคิดของคนรุ่นเก่าแล้วนำมาดัดแปลงให้ร่วมสมัย ดังคำกล่าวที่เราคุ้นเคยกันดีที่ว่า “ลูกต้องดีกว่าพ่อแม่” “ศิษย์ต้องดีกว่าครู” ทั้งนี้เพราะรู้จักคิดดัดแปลง
๖. คิดซับซ้อน (Complexity) คือ ความสามารถในการแสวงหาทางเลือกใหม่ที่หลาย ๆ ครั้ง ได้มาด้วยความยากลำบากคนที่คิดซับซ้อนจะจัดระบบสรรพสิ่งที่สับสนได้ดีนำระเบียบออกมาจากความโกลาหลได้
๗. คิดวางแผน (Planning) คือ ความสามารถจัดการให้ได้มาซึ่งผลหรือทางออกที่พีงประสงค์ เป็นการรวบรวมการคิดวิธีการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบระบบการคิดวางแผนมีขั้นตอนลักษณะเช่นเดียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ
๗.๑ ระบุปัญหา
๗.๒ ระบุข้อจำกัด
๗.๓ พิจารณาทางเลือก
๗.๔ บริการทรัพยากรและเวลา
๗.๕ กำหนดแผนงานและ
๗.๖ ไตร่ตรองถึงปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
๘. การตัดสินใจ ( Decision Making) คือ การตกลงใจว่าจะกระทำการคิดตัดสินใจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติการ การคิดตัดสินใจจึงไม่ใช่การคิดหาทางเลือกแต่เป็นการประมวลทางเลือกต่าง ๆ โดยใช้วินิจฉัยและระบุข้อตกลงใจว่าจะกระทำการใดในทิศทางใด การดำรงชีวิตของคนเราต้องตัดสินใจ นักเรียนจึงควรฝึกทักษะการคิดตัดสินใจให้เป็นระเบียบระบบเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
๙. คิดระดมสมอง (Brainstorming) คือ เทคนิควิธีการเสาะหาวัตถุดิบเพื่อนำไปคิดต่อ เป็นการระดมความคิดให้มากหลากหลายเพื่อนำไปใช้หรือพิจารณาโดยการคิดวิธีการต่าง ๆ ต่อไป การคิดระดมสมองจึงไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการคิด แต่ป็นจุดเริ่มต้นเหมือนกับการประกอบอาหารที่ต้องเสาะหาเครื่องปรุงให้พร้อมก่อน
ลงมือประกอบอาหาร
๑๐. คิดให้รู้กันทั่ว (Communication) คือ ความสามารถในการเสนอความคิดหรือข้อคิดเห็นโดยชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้ คิดให้รู้กันทั่วจึงเป็นเรื่องของการสื่อสารเกี่ยวพันกับทักษะการจำแนกแยกแยะ การจัดกลุ่ม การพรรณนา การอภิปราย การโต้แย้ง การเปรียบเทียบ การรู้จักใช้ภาษาที่เหมาะสม ในการสื่อความคิด
จิราภรณ์ ศิริทวี. เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง เทคนิคการจัดกิจกรรมให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้.
กรุงเทพมหานคร : โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๔๐ ( อัดสำเนา)
ทักษะการคิด (Thinking Skills)
|
ทักษะการคิดหมายถึงความสามารถย่อย ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของกระบวนการคิด
ที่สลับซับซ้อน ทักษะการคิดอาจจัดเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน
(Basic Thinking Skills) และทักษะการคิดขั้นสูง (Higher - Ordered Thinking Skills)
Higher - Order
Thinking Skills
|
Communication
Thinking Skills
|
1. ทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic Thinking Skills) หมายถึงทักษะการคิดย่อยที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นต่อการคิดในระดับที่สูงขึ้นหรือซับซ้อนขึ้น แบ่งได้ 2 กลุ่มย่อย คือ
1.1 ทักษะการสื่อความหมาย (Communicate Thinking Skills) เช่น การฟัง การอ่าน การรับรู้ การจำ การพูด การเขียน ฯลฯ
1.2 ทักษะการคิดเป็นแกน (Core Thinking Skills) ซึ่งเป็นทักษะการคิดทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การสังเกต การสำรวจ การตั้งคำถาม การเก็บรวบรวมข้อมูล การจำแนกแยกแยะ
การจัดหมวดหมู่ การจัดลำดับ การเปรียบเทียบ การสรุปอ้างอิง การแปล การตีความ การเชื่อมโยง
การขยายความ การให้เหตุผล การสรุป ฯลฯ
2. ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher - Order Thinking Skills) เช่น การวิเคราะห์
การสังเคราะห์ การจัดระบบความคิด การค้นหาแบบแผน การสร้างความรู้ ฯลฯ
สรุปได้ว่ากระบวนการคิดของมนุษย์ เริ่มจากการตีความพิจารณาไตร่ตรอง ผัสสะที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เกิดความเข้าใจในผัสสะนั้น สรุปออกมาเป็นความรู้เฉพาะครั้ง แล้วนำความรู้หลายครั้งมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ สรุปออกมาเป็นความรู้ที่เป็นส่วนรวม ทั้งยังนำความรู้ที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำเพื่อนำมาคิดอนุมานใช้ในการสรุปหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม โดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรง ๆ แต่อาศัยการคิดที่เกี่ยวเนื่องกันซึ่งจะเห็นได้จากสรุปหาความรู้ใหม่เพิ่มแต่ละครั้งจะต้องนำความรู้เดิมมาเป็นหลักฐานสนับสนุนเสมอ
©©©©©©
มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะมองเห็นโอกาสในทุกปัญหา
แต่มนุษย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักจะมองเห็นปัญหาในทุกโอกาส
(มานิตย์ ตั้งจิตเกษมสุข)
1. Dream
คือกล้าที่จะฝันใหญ่ กล้าที่จะมีเป้าหมายที่ท้าทาย
เมื่อมีคนถามว่าเป้าหมายเราคืออะไร เราควรจะตอบได้อย่างมั่นใจ
ว่าเป้าหมายเรามี 1, 2, 3,… กี่เป้าหมายก็ว่าไป
มันมีขนาดประมาณไหน มันจะเสร็จเมื่อไร
ทำขึ้นมาให้มันชัดเจน ให้เป็นรูปธรรมที่สุด
2. Plan
เป้าหมายที่ปราศจากแผนงานรองรับ ก็ไม่ต่างกับหวังลมๆ แล้งๆ
เราต้องตอบให้ได้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เพื่อบรรลุฝันนั้น
ต้องเรียนอะไร ต้องรู้อะไร ต้องมีอะไร ต้องใช้เงินเท่าไร
ใช้แรงแค่ไหน ใช้เวลาแค่ไหน ต้องพึ่งใคร
เรามีรึยัง จะหาจากไหน จะหาเมื่อไร… ????
3. Act
แผนที่ไร้ซึ่งการ “ลงมือปฏิบัติ” ก็ไม่สามารถจะ Make The Difference อะไรได้
เราอาจจะเป็นคนมีฝันไม่เยอะ ฝันไม่ใหญ่
เป็นคนที่ต้องใช้เวลาคิด ใช้เวลาวางแผนเนิ่นนาน ก็ได้
แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ…
ผมอยากชวน “ทำให้เร็ว” และที่สำคัญมากกว่าคือขั้นตอนต่อไป
4. Stay
คือทำแล้วอย่าหยุด อย่าล้มเลิกง่ายๆ
ถ้าฝันนั้นสำคัญ ขอให้เป็นคนที่ “กัดไม่ปล่อย”
การอดทนได้นาน เราจะเข้มแข็งขึ้นไปพร้อมๆ กับเก่งขึ้น
อย่าเป็นคนที่ “เห่อ” ได้แค่แป๊บๆ แล้วก็เลิก
มันเสียเวลาครับ จะเห่ออะไรทั้งที ต้องเห่อจนสำเร็จ!
4 ขั้นตอนเพลนๆ ที่ใครก็รู้นี้
ก็มีความยากของมัน คือมันมักจะมีหลุมพรางอยู่ตาม “จุดพัก” ต่างๆ
บางคนติดอยู่ที่ขั้น Dream คือฝันไกล (มาก) แต่ไปไม่ถึง
เพราะฝันนั้นไม่กลายเป็นแผนงานเสียที
บางคนติดอยู่ที่ขั้น Plan คือ คิดนั่นคิดนี่ มากมายไปหมด
หาวัตถุดิบ สะสมหนังสือ บทความเต็มชั้น/เต็มคอมพ์
กังวลกับอนาคตข้างหน้า คิด Scenario ต่างๆ มากมายไปหมด
แต่ไม่ได้เริ่มทำเสียที
เราต้องหาความพอดีให้เจอนะค่ะ
ดิฉันไม่มีสูตรสำเร็จ XX เคล็ดลับเพื่อหาความพอดีให้
มันเป็นสิ่งที่บางครั้งเราต้อง “ลองผิดลองถูก” ดูบ้าง
เราจะได้บทเรียนที่ดีทุกครั้งที่ผิด
อย่างน้อยก็ได้ตัดทางที่ไม่ใช่ไป 1 เส้นทาง
บุคคลตัวอย่าง
ประวัติ step job สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะของโลก
"หิมะที่ขาวโผนนั้น ไม่ว่ามันจะดำเปรอะเปื้อนสักเท่าไหร่ แต่พอปัดดินทิ้งไป หิมะย่อมขาวดังหิมะเช่นเดิม" คำพูดนี้เหมาะกับ
Steve Jobs สุดยอด CEO ของศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างยิ่ง หากเอ่ยถึงชื่อนี้ ในสังคมชาว IT คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ประวัติ ที่ไปที่มาของชายคนนี้
Steve Jobs เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีประวัติน่าสนใจ รวมไปถึงวิธีการทำงาน การใช้ชีวิต และที่สำคัญ แนวคิดต่างๆของเขาที่ทำให้ คนประทับใจมานักต่อนัก
ในปี 1995 Steve Jobs ได้เกิดมาจากแม่ที่ยังอยู่ในวัยของความคะนองที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร แถมยังไม่ได้ต้องการที่จะรับผิดชอบเขาในเวลานั้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าต่อไปเด็กคนนี้จะกลายเป็นตำนานบทหนึ่งของวงการเทคโนโลยี Steve Jobs เติบโตมากับพ่อแม่บุญธรรมที่ขายแรงงานเพื่อเลี้ยงดูแลเขา เส้นทางของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาลาออกจากมหาลัยหลังเข้าเรียนไปได้เพียง 6 เดือน เพราะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า การเรียนมหาลัยจะช่วยอะไรในชีวิตเขาได้
ซึ่งการที่ตัดสินใจครั้งนี้ก็ทำให้เขาลำบากอยู่ไม่น้อย เขาต้องอาศัยนอนในห้องเพื่อน และเก็บกระป๋องไปแลกเงินเพื่อซื้ออาหาร เขารักษาสภาพการเรียนไว้ด้วยการที่เข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจในเวลา 18 เดือน เขาได้เลือกเรียนวิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) โดยที่ ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อะไรได้ในอนาคต
แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เขากับเพื่อนได้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ได้สำเร็จ เป็นเครื่องแรกของโลก และก่อตั้งบริษัท Apple ขึ้น ในโรงรถ ในวัยเพียง 20 ปี
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ต่อจากนั้นอีก 10 ปี Apple กลายเป็นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ มีพนักงานมากมาย แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Steve Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ หลังจากที่เขาทะเลาะกับผู้บริหารที่เขาจ้างมาด้วยตัวเอง ชื่อ จอห์น สกัลลีย์ [John Sculley] และกรรมการบริหารทั้งหมดเลือกที่จะเข้าข้างผู้บริหารที่ชื่อ จอห์น สกัลลีย์!!!
นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ชีวิตเขาก็เหมือนกับทุกอย่างมันพังทลายลงมา เขาหมดอะไรตายอยากถึง 5 ปี เต็ม ในระหว่างนั้น Apple ก็ทรุดลงเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะผ่านผ้บริหารไปหลายคนก็ตาม
แน่นอน! หิมะขาวยังไงย่อมขาวอยู่วันยันค่ำ เขาตัดสินใจลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง เขาเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Next และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ต่อมาบริษัท Apple ก็มาซื้อ Next ของเขา
Steve Jobs จึงได้กลับไปยังบริษัทเก่าที่เขาได้ก่อตั้งขึ้นมา เขาได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่คิดค้นขึ้นภายในบริษัท Next เพื่อฟื้นฟูให้กับ Apple ที่ทรุดลงไปให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
และเมื่อเขามีอายุ 34 ปีแพทย์พบว่าเขาเป็นโรคมะเร็งในตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวตายอย่างช้าๆ คณะแพทย์ได้ค้นพบวิธีรักษามะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบได้ยากอย่างเขา ด้วยวิธีผ่าตัด และเขาได้เข้าการรักษาและหายขาดในเวลาต่อมา นั่นเป็นอีกครั้งในชีวิตที่เขาเฉียดเข้าไปใกล้ความตาย
และมีข้อคิดดีดีแก่ผู้อื่นอีกหนึ่งข้อนั่นคือ "ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางใหม่แก่สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต
สตีฟ จ๊อบ ก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วๆไป ที่เกิดมาแบบไม่ได้พร้อมไปทุกอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีก็คือ ความใฝ่ฝัน และ ความเชื่อมั่นในตัวเอง เขามีวิธีในการทำงานร่วมกับคนฉลาดเพื่อทำความฝันของเขาให้เป็นจริง หนึ่งสิ่งที่ต้องทำให้ได้ก็คือ เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าตัวเองก็เกิดมาเพื่อจะประสบความสำเร็จ แล้วหลังที่เราเชื่อเราก็จะพัฒนาตัวเองตามความเชื่อนั้น และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากชายคนนี้ สตีฟ Steve Jobs
http://deklearning.blogspot.com/2012/09/step-job.html
Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook เมื่อปี 2548
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี พุทธศักราช 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ซึ่งตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่นๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebookจึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง
Facebook คืออะไร ประวัติ Facebook
ไอเดีย เริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริงๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
ประวัติของวอลท์ ดิสนีย์
วอลท์ ดิสนี่ย์ เป็นผู้สร้างการ์ตูนที่แพร่หลายและประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกคนหนึ่ง และเป็นคนสร้างภาพยนตร์การ์ตูนสีเป็นคนแรก เขาเริ่มทำการ์ตูนมิกกี้ เม้าส์(Mickey Mouse) โดยร่วมมือกับน้องชายรอย ดีสนีย์ และหัวหน้าทีม นักวาดการ์ตูนและน้องชายชื่อ รอย วอลท์ ดีสนีย์ ได้ร่วมมือกันก่อตั้ง Walt Disney Company ขึ้น และหนังมิกกี้ เมาส์ ขึ้นตอน Steamboat Willie ซึ้งเป็นหนังการ์ตูนเสียงเรื่องแรกของโลก คือก้าวแรกของวอลท์ ดีสนีย์
มิกกี้เมาส์ ถือกำเนิดขึ้นในปี 1928 บนขบวนรถไฟนิวยอร์กสู่ลอสแองเจลีส ขณะนั้น “วอลท์ ดีสนีย์” มีอายุเพียง 27 ปีเขาเดินทางกลับจากการเจรจากับเพื่อนร่วมงานที่ ฉ้อโกง ทำให้เขาสูญเสียลิขสิทธิ์การ์ตูนกระต่ายที่เขาวาดขึ้นมาเองกับมือ บนรถไฟนั้นเองที่ วอลท์ จินตนาการถึงเจ้าหนู กางเกงแดงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งขึ้นมา เขาลงมือวาดมันขึ้นและตั้งชื่อมันว่า “มอร์ติเมอร์” แต่ลิเลียนผู้เป็นภรรยาที่เดินทางไปกับเขาด้วย กลับติว่าชื่อนี้เป็นทางการและจริงจังเกินไป ก่อนจะตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า “มิกกี้ เมาส์”
บัดนั้นเองที่ดาวดวงน้อยๆ แห่งโลกการ์ตูนก็จรัสแดงขึ้น โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า หนูตัวนั้นจะกลายมาเป็นขวัญใจของเด็กๆ และผู้คนทั้วโลกในเวลาต่อมา เขาปรากฏตัวต่อสาธารณชนทั่วโลกผ่านทางการ์ตูนเสียงเรื่องแรก สตีมโบท วิลลี่(Steamboat Willie) เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 1928 จวบจนถึงปัจจุบัน
นางสาวขนิษฐา มัชปาโต รหัสนักศึกษา 58723713303 นักศึกษา ป.บัณฑิตวิชาชีพครู 2558
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร สัปดาห์ที่ 5 5/09/58